ไปเที่ยวต่างประเทศใช้บัตรชำระเงินแบบไหนดี

       เที่ยวต่างประเทศยุคนี้ เป็นสังคมดิจิทัลไร้เงินสดแบบเต็มตัว เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ ไม่ต้องกังวลกับการแลกเงินสดให้หนัก เราสามารถใช้ บัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือ ทราเวลการ์ดในการใช้จ่ายค่าบริการหรือซื้อสินค้าต่าง ๆ ได้แทบทั้งหมด มาดูข้อดีข้อเสียบัตรแต่ละใบ ว่าแตกต่างกันอย่างไรบ้าง วันนี้เรามีข้อแนะนำดีดีมาฝากกันค่ะ

       บัตรเครดิต (Credit Card) บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ที่ธนาคารพาณิชย์และผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ไม่ใช่สถาบันการเงินต่าง ๆ ออกให้ เพื่อใช้จ่ายแทนเงินสด และต้องชำระคืนภายในเวลาที่กำหนด ข้อดีคือท่านสามารถใช้จ่ายอะไรก็ได้ กับร้านค้าหรือบริการใด ๆ ก็ได้ที่รองรับการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ตามวงเงินในบัตรของคุณ โดยไม่ต้องจ่ายเงินทันที รอใบแจ้งหนี้มาแล้วค่อยจ่าย จึงช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินได้เป็นอย่างดี และถ้าเราจ่ายได้ตรงเวลา ครบตามจำนวนเงินที่ได้รูดไป จะไม่เสียค่าดอกเบี้ยบัตร (ตามเงื่อนไขบัตร) ข้อต่อมาบัตรเครดิต แน่นอนว่าใครหลายๆ คนสนใจทำบัตรเพราะมีคะแนนสะสมแต้มผ่านการใช้งาน หรือเครดิตเงินคืนเมื่อใช้จ่ายตามเงื่อนไขที่บัตรกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ตามยอดจ่าย บัตรเครดิต มักมีโปรโมชันพิเศษ มีสิทธิพิเศษ และโปรโมชันสำหรับการเที่ยวต่างประเทศมากมายให้เลือก บัตรบางใบฟรีประกันการเดินทาง หรือรับบริการแบบวีไอพีที่สนามบินฟรี มีความปลอดภัยในการใช้จ่าย โดยเฉพาะกับสินค้าที่มีราคาแพง เพราะคุณไม่ต้องถือเงินสดเป็นจำนวนมาก สามารถยกเลิกการทำรายการชำระค่าสินค้าหรือบริการ เพียงติดต่อสถาบันการเงินที่ออกบัตรให้ โดยปกติจะได้รับเงินคืนเข้าบัตรเครดิตค่อนข้างรวดเร็วภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งบัตรเครดิตแต่ละใบมีเงื่อนไข และระยะเวลาคืนเงินไม่เหมือนกัน ควรศึกษาข้อมูลก่อนทุกครั้ง

       ข้อจำกัดของบัตรเครดิตก่อนชำระค่าบริการ หรือซื้อของที่ร้านค้าในต่างประเทศต้องดูให้ดี เพราะบางร้านอาจไม่รับบัตรเครดิตในมือของท่าน โดยสังเกตจากประเภทบัตร VISA, MasterCard มีการคิดค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินตราต่างประเทศ และเรทการเปลี่ยนแปลงค่าเงินก็จะเป็นเรทที่สูงกว่าเรทการแลกเงินสดตามร้านแลกเงิน มีค่าธรรมเนียมในการกดเงินสดในต่างประเทศ

       บัตรเดบิต (Debit Card) คือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ที่ธนาคารพาณิชย์และผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ไม่ใช่สถาบันการเงินต่าง ๆ ออกให้ เพื่อใช้จ่ายแทนเงินสด และต้องชำระคืนภายในเวลาที่กำหนด บัตรเดบิตนั้นมีลักษณะการใช้งานที่คล้ายกับบัตรเครดิต แต่ที่มาของเงินที่ใช้จ่ายนั้นต่างกัน ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะทราบแล้วว่าบัตรเดบิตนั้นก็คือบัตรเอทีเอ็มที่สามารถรูดซื้อสินค้าได้เหมือนบัตรเครดิต แต่จากวงเงินที่ใช้จ่ายได้ล่วงหน้า จะเปลี่ยนเป็นการหักเงินจากบัญชีเงินฝากของท่านในทันที แต่ก็เป็นบัตรที่ช่วยให้ท่านสามารถควบคุมค่าใช้จ่าย และใช้เที่ยวต่างประเทศได้ด้วยเงินที่ตัวเองมีจริง ๆ โดยไม่เป็นหนี้สินกับธนาคารในภายหลัง ข้อดีของบัตรเดบิตบัตรเดบิตนอกจากจะใช้รูดซื้อสินค้าได้ ยังใช้เบิกถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็มในต่างประเทศได้ด้วย ซึ่งโดยทั่วไป ตู้เอทีเอ็มทั่วโลกจะรองรับบัตรเดบิตที่มีสัญลักษณ์ PLUS ของ VISA และ Mastro หรือ Cirrus ของ MasterCard อยู่แล้ว คุณจึงใช้จ่ายกับร้านค้าที่ไม่รับบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตได้สะดวกขึ้นด้วยการกดเงินสดแทน บัตรเดบิตจึงเปรียบเสมือนเงินสดพร้อมใช้ที่อยู่ในการ์ด และการรูดซื้อสินค้ากับบัตรเดบิตก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะจ่ายไม่ไหว หรือจะต้องเสียดอกเบี้ยกับธนาคารเจ้าของบัตรแต่อย่างใด

       แต่เนื่องจากบัตรเดบิตรูดแล้วจะหักเงินในบัญชีท่านเจ้าของบัตรทันที หากมีการรูดซื้อสินค้าผิดพลาด ก็เป็นเรื่องที่ใช้เวลากว่าเงินจะคืน ยิ่งเป็นการรูดซื้อสินค้าในต่างประเทศ กระบวนการก็ยิ่งช้าเพราะต้องประสานงานหลายต่อ นอกจากนี้ การทยอยกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มในต่างประเทศก็ไม่ใช่ความคิดที่ดี เพราะคุณจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการกดเงินแต่ละครั้งสูงถึงหลักร้อยบาท และค่าเงินก็จะถูกแปลงตามเรทของธนาคารซึ่งมักจะสูงกว่าเรตการแลกเงินสดทั่วไป แถมบางบัตรก็ยังคงเสียค่าความเสี่ยงสกุลเงินเช่นเดียวกับบัตรเครดิตเหมือนเดิม แต่ทั้งนี้ ก็มีบัตรเดบิตที่ออกแบบมาเพื่อการท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะ ลองหาข้อมูลบัตรของหลายๆ ธนาคาร จะยกเว้นค่าความเสี่ยงสกุลเงิน และได้เรทการแลกเงินที่พิเศษกว่าปกติ ดังนั้น หากจะเลือกใช้บัตรเดบิตในการเที่ยวต่างประเทศ ก็ควรเลือกใช้บัตรประเภทนี้จะดีกว่าการใช้บัตรเดบิตธรรมดา

       Travel Card หรือบัตรเติมเงินต่างประเทศ บัตรเดบิตที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ รูดจ่ายค่าสินค้า/บริการ หรือกดเงินจากตู้ ATM ก็สามารถทำได้เช่นกัน ท่านเติมเงินเข้าบัตรไปเท่าไร ก็จะใช้เที่ยวต่างประเทศได้เท่านั้น ควบคุมค่าใช้จ่ายและไม่ปะปนกับเงินฝากในบัญชีของท่านเอง จัดการแลกเปลี่ยนเงินในบัตรเป็นสกุลเงินใด ๆ ก็ได้ที่รองรับ ได้ด้วยตัวเองผ่านแอปพลิเคชันหรือระบบออนไลน์ โดยไม่ต้องเสียค่าความเสี่ยงการเปลี่ยนแปลงสกุลเงิน

       หากรูดซื้อสินค้าผิดพลาด เงินในบัตรก็จะถูกหักไปเลยเช่นกัน มีค่าธรรมเนียมในการออกบัตร แต่ส่วนใหญ่หลายธนาคารจะออกโปรโมชั่นฟรีค่าธรรมเนียมออกบัตรและค่าธรรมเนียมรายปี รองรับแต่สกุลเงินหลักเช่น ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร เยน และเรทเงินประเทศท่องเที่ยวยอดนิยม

       ทั้งหมดนี้คือบัตรเที่ยวต่างประเทศทั้ง 3 ประเภท ท่านสามารถนำไปใช้ในต่างประเทศได้ ซึ่งแต่ละบัตรก็มีเงื่อนไขในการใช้งานที่ต่างกัน โดยแต่ละบัตรก็มีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกัน การไปเที่ยวต่างประเทศในแต่ละครั้งจึงต้องคำนึงถึงการนำบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตรเติมเงินไปใช้จ่ายด้วย นั่นก็เพื่อความคุ้มค่าสูงสุดสำหรับตัวท่านเอง จะเลือกบัตรประเภทไหนไปเที่ยวต่างประเทศดีค่ะ